เด็ก ๆ หลายหลายคนคงน่าจะคุ้นเคยกับคำว่าพลังงานในตั้งแต่สมัยเรียนกันทุกคนอยู่แล้ว โดยหลักสูตรก็ได้บังคับให้เรียนวิชาที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับประเภทของพลังงาน เพื่อให้ทุกคนเรียนรู้และเข้าใจเกี่ยวกับพลังงานรอบตัวของเรา ซึ่งเมื่อได้กลับมาทบทวนเนื้อหาการเรียนอีกครั้งแต่พบว่าประเภทของพลังงานมีอยู่ด้วยกันถึง 6 ชนิดเลยทีเดียว  ชนิดแรกนั่นก็คือพลังงานเคมี ซึ่งเป็นพลังงานที่เกิดภายในตัวของโมเลกุลหรือพลังงานระหว่างอะตอมที่เกิดขึ้นภายในสารเคมีชนิดต่าง ๆ ซึ่งการที่จะเกิดสารเคมีต่าง ๆ ได้นั้นเกิดจากการรวมกันของโมเลกุลหลากหลายชนิด เมื่อมีการรวมตัวกันพลังงานจะเกิดการสะสมอยู่ภายในอะตอมเหล่านั้น อาจทำให้เกิดพลังงานความร้อนหรือพลังงานแสงออกมาได้จากการแตกพันธะของโมเลกุลขนาดใหญ่ เป็นต้น   ชนิดที่สองก็คือพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นประเภทของพลังงานที่อยู่ในรูปของสารกัมมันตรังสีที่มีอานุภาพการทำลายล้างอย่างร้ายแรงอยู่ในสารระเบิดหรือเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ต่าง ๆ เมื่อมีการเกิดปฏิกิริยาที่มีการแตกตัวแบบลูกโซ่จะเกิดเป็นพลังงานความร้อนออกมา  ชนิดที่สามก็คือพลังงานไฟฟ้า ซึ่งเป็นพลังงานที่มีประโยชน์การใช้สอยในปัจจุบันค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ในครัวเรือน ในโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทุกคนล้วนต้องดำรงชีวิตโดยใช้ไฟฟ้าทั้งสิ้น ซึ่งแท้จริงแล้วพลังงานไฟฟ้าเกิดจากการเคลื่อนที่ของประจุภายในตัวนำที่ถูกเหนี่ยวนำ ความต่างศักย์ในตัวนำที่เกิดขึ้นจะทำให้เกิดการเคลื่อนที่และก่อเกิดกระแสไฟฟ้าขึ้นและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ทำให้เกิดพลังงานความร้อนและพลังงานแสงสว่างได้ในเวลาต่อมา  ชนิดที่สี่ก็คือพลังงานกล เป็นพลังงานที่ได้จากการเคลื่อนที่ของสิ่งจนเกิดพลังงานจลน์และพลังงานศักย์เกิดขึ้น โดยภายในวัตถุนั้นจะมีการสะสมพลังงานอยู่ในตัวของมันเอง จนสามารถขับเคลื่อนสิ่งของต่าง ๆ ได้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน  ชนิดที่ห้าก็คือพลังงานการแผ่รังสี ประเภทของพลังงานนี้นั้นเป็นประเภทที่พบเจอในชีวิตประจำวันได้ง่ายที่สุด เพราะในชีวิตประจำวันนั้นเต็มไปด้วยรังสีมากมายที่อยู่ในรูปของคลื่น เช่น คลื่นแสง คลื่นเสียงต่าง ๆ คลื่นแม่เหล็ก คลื่นความถี่ของวิทยุ ซึ่งคลื่นต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีพลังงานภายในตัวเองทั้งสิ้น  เมื่อเราได้เรียนรู้ประเภทของพลังงานแล้วนั้นทำให้เราสามารถเข้าใจได้ถึงประโยชน์และความสำคัญของพลังงานต่าง ๆ รอบตัวเรา ว่าเราอาจจะสัมผัสมันไม่ได้ มองไม่เห็นได้ด้วยตา สัมผัสด้วยผิวหนังไม่ได้โดยตรง แต่เราสามารถรับรู้ได้ว่ามีพลังงานซ่อนอยู่ในสิ่งของทุกชนิด ไม่ว่ามันจะขยับได้หรือจะอยู่นิ่งก็ตาม และด้วยความสามารถในการพัฒนาและนำพลังงานมาใช้จนสร้างคุณสมบัติพิเศษออกมา เช่น การปล่อยแสงสว่าง การทำให้เกิดเสียงหรือการทำให้เกิดภาพล้วนแล้วแต่มาจากมนุษย์ทั้งสิ้น จึงนับว่าเป็นสิ่งที่เด็กเด็กวัยเรียนทุกคนควรจะรับรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับพลังงานให้รอบตัวของเรา เพื่อสร้างจิตสำนึกและตระหนักถึงคุณค่าของพลังงานในแต่ละประเภทที่ได้รับมา